ทดลองขับ ‘Mirage มิราจ‘ เกินกว่าเก๋งเล็กจะทำได้

หลังจากที่ผมได้ลองขับรถมิตซูบิชิ มิราจครั้งแรก ที่สนามพัทยา เซอร์กิตเมื่อหลายเดือน ในกิจกรรมช่วงสั้นๆ เพียง 2 รอบสนาม ผมยังเก็บความไม่ประทับใจหลายๆ อย่างไว้ในใจ โดยเฉพาะความเบาของตัวถัง และการโยนตัวของรถในขณะที่เลี้ยว แต่นั่นเป็นรถการขับสั้นมาก และเป็นรถพรี โปรดักชั่นเมื่อรถตัวจริงออกมาผมจึงกระตือรือร้นที่จะไปขับอีกครั้ง มิตซูบิชิ จัดให้สื่อได้ทดสอบมิราจบนเส้นทางยาวๆ จากกรุงเทพไปสวนผึ้ง เมื่อเร็วๆ นี้ และก็ได้ผลเพดานความพอใจความสนใจของผมหันมามองมิราจอีกครั้ง และประเมินผลความพอใจมิราจสูงขึ้นมากทีเดียว โดยเฉพาะเสถียรภาพในทางตรง ความมั่นคงของตัวถัง ความสมดุลต่อเนื่องของเกียร์และเครื่องยนต์ รวมถึงออปชั่นต่างๆ ต้องเรียกว่า เกินกว่ารถเล็กจะทำได้จริงๆ การให้ตัวของตัวรถอันเป็นสิ่งที่ผมสังเกต กลายเป็นความนิ่มนวลแต่หนึบมาแทนที่ พวงมาลัยน้ำหนักดีเมื่อรถมีความเร็ว นี่คือสิ่งที่รถเล็กต้องการเพราะมันหมายถึงความมั่นใจในการควบคุม

คอนเซ็ปต์ประหยัดน้ำมัน ของมิราจ “ต้องไปได้ไกลกว่า” มิราจจึงเน้นน้ำหนักเบา และการออกแบบ ให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.29 ดีที่สุดในกลุ่มรถระดับเดียวกันและการลดน้ำหนักของตัวถังโดยรวม แต่มีการเพิ่มประสิทธิภาพ ความแข็งแกร่งโครงสร้าง ตัวถัง มากขึ้น แม้น้ำหนักของรถจะเบากว่าปกติ ก็น่าจะเป็นไปได้เพราะเท่าที่ขับเห็นตัวเลข 17 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยสไตล์การขับแบบใส่เต็ม ความเร็วสูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดจากความแตกต่างกันของเทคโนโลยีของรถวันนี้ต้องยอมรับว่า เครื่องยนต์ 3A92 MIVEC 1.2L 3 สูบของมิราจ เกียร์ใหม่ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเปิดและปิดวาล์ว ไอดีและไอเสียตามแบบฉบับของเครื่องยนต์สมัยใหม่  ประกอบกับระบบรองรับน้ำหนัก การเก็บเสียง ไม่เป็นรองใครถ้านับนิสสัน มาร์ชเป็นมาตรฐานรถที่ขับดีในกลุ่มคือ ซูซูกิ สวิฟท์ ในขณะที่รถที่เคียงคู่ความคุ้มค่า ขับดีก็ได้ ออปชั่นสมราคา ก็ต้องยกให้มิราจ

(ขับไว้จะไปจอง : ‘มิราจ’ เกินกว่า เก๋งเล็กจะทำได้ : โดย….จอมยุทธ)

ขอขอบคุณข้อมูล คมชัดลึก