Mercedes-Benz S-Class สว่างไสวด้วยไฟ LED นับ 500 ดวง

ในช่วงเริ่มแรกของวงการรถยนต์ นอกเหนือจากการใช้ไฟส่องสว่างภายนอกตัวถังแล้ว การใช้ไฟในจุดอื่นๆ ถือเป็นออปชั่นเสริมหรืออาจจะไม่มีเลยก็ตาม แต่มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทางค่ายผู้ผลิตรถได้หันมานิยมใช้ไฟในเกือบทุกที่ภายในตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภายในห้องโดยสาร, ช่องเก็บสัมภาระด้านหน้า หรือแม้กระทั่งบนหน้าปัด ก็ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานไปโดยปริยาย รวมถึงราคาที่ลดลงเช่นกัน

ทุกวันนี้ ทางค่ายหรูสัญชาติเยอรมันอย่าง Mercedes-Benz ดูจะยินดีอย่างมากที่จะเลิกใช้หลอดไฟแบบดั้งเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะถูกแทนที่ด้วยไฟ LED แบบทันสมัยที่พบใน W222 S-Class sedan รุ่นล่าสุด ถ้าเช่นนั้นแล้ว หลอดไฟแบบใหม่เช่นนี้จะมีประโยชน์จริงๆ หรือเป็นเพียงวิธีการทำตลาดเพื่อให้รถดูแตกต่างหรือทันสมัยเท่านั้น ทางค่ายรถหรูก็คงจะต้องเอนเอียงตอบข้อแรกอย่างแน่นอน โดยได้สนับสนุนคำตอบนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ

หลอดไฟประมาณ 500 ดวงจะได้รับการสร้างสรรค์อยู่ภายในและภายนอกตัวถัง โดยทางค่ายเคลมว่า จะมีระดับความสว่างที่เท่ากันหรือดีกว่า และใช้ไฟน้อยกว่า พร้อมเสริมว่า มันจะเป็นผลด้านบวกต่ออัตราการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซ CO2 ที่ลดลง โดยมีตัวเลขถึง 0.05 ลิตร/100 กิโลเมตร และ 2.1 กรัม/กิโลเมตร ตามลำดับ

สำหรับภายในห้องโดยสาร จะได้รับการเติมเต็มด้วยหลอดไฟ LED หลายดวง โดยสามารถปรับระดับความสว่างได้ตามต้องการ

ยิ่งไปกว่านั้น การรวมไฟ LED เป็นจำนวนหลายๆ ดวงไว้ที่ไฟหน้า (ไฟหน้าแต่ละจุดมีไฟ LED ถึง 56 ดวง) จะสามารถประกอบเข้ากับออปชั่นเสริมพิเศษอย่างระบบ Adaptive Highbeam Assist Plus (ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ) นั่นหมายความว่า คุณจะสามารถขับรถด้วยไฟสูงได้อย่างถาวร โดยไม่รบกวนสายตาผู้ร่วมทางคนอื่นๆ ไม่เพียงเท่านี้ S-Class คันนี้จะได้รับการติดตั้งไฟฉุกเฉินในตอนกลางคืน, ไฟเบรก และไฟเลี้ยว ซึ่งจะถูกทำให้มัวลง (แต่ยังรักษาอยู่ในระดับที่รับได้) เพื่อที่ว่าจะไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ

มันเป็นเรื่องดีที่จะกล่าวว่า ไฟ LED จะเห็นได้ชัดขึ้นในเวลากลางคืน ถ้าคุณบังเอิญได้เห็น Range Rover โฉมใหม่บนท้องถนน คุณจะไม่พลาดที่จะเห็นไฟเลี้ยวอันโดดเด่นอย่างแน่นอน ไม่แม้กระทั่งในตอนกลางวัน ทางค่าย Mercedes-Benz ก็เช่นกัน คงต้องการจะสร้างสรรค์ให้ S-Class คันนี้ดูโดดเด่นมากขึ้น และมองเห็นได้ชัดเจน แม้กระทั่งจากระยะไกล