
นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในราวปี ค.ศ.1700 เป็นต้นมา ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปัจจุบัน โลกเรามีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศมากกว่าช่วง เวลาใดๆ ในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ในปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศกว่า 36,000 ล้านตัน ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติและการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น และคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตรถยนต์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นหนึ่งในนโยบายระดับโลกของฟอร์ดที่ต้องการเติบโตและผลิตสินค้าอย่างยั่งยืน พร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด
ในด้านของกระบวนการผลิต ฟอร์ดวางแผนจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตทั่วโลกลง 30 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี ค.ศ. 2010 – 2025 และตั้งเป้าหมายลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลง 30 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี ค.ศ. 2010 – 2015 รวมทั้งลดการปล่อยของเสียในกระบวนการผลิตลง 40 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2016
ทั้งนี้ ระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2016 ฟอร์ดยังวางแผนจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในการผลิตรถทุกคันลง 25 เปอร์เซ็นต์ โดยระหว่างปี ค.ศ. 2011 – 2013 ฟอร์ดสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในรถลงไปแล้วถึง 21 เปอร์เซ็นต์ต่อคันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ล่าสุด ในปีที่ผ่านมา ฟอร์ด เอเชียแปซิฟิก สามารถลดการใช้น้ำกระบวนการผลิตได้ถึง 1,000 ลูกบาศก์เมตร ด้วยกระบวนการผลิตแบบใหม่ที่เรียกว่า Minimum Quantity Lubrication ที่ลดการใช้น้ำมันและน้ำได้อย่างมาก
ในด้าน เทคโนโลเพื่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ EcoBoost เป็นอีกผลลัพธ์ทางเทคโนโลยีที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของฟอร์ดเพื่อความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย EcoBoost เป็นเครื่องยนต์ขนาด 3 สูบที่มีประสิทธิภาพการขับขี่ดีเยี่ยมและประหยัดน้ำมันการันตีโดยรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีระดับนานาชาติ 3 ปีซ้อน โดยเครื่อง EcoBoost ขนาด 1.0 ลิตร ให้กำลังถึง 125 แรงม้า ทั้งนี้ขนาดเครื่องที่เล็กลงหมายถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่น้อยลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้นำรีไซเคิลนำสิ่งของเก่ามาเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของรถคันใหม่ อาทิ ฝ้ายจากจากเสื้อหรือยีนส์ที่ใช้แล้วนำมาเป็นส่วนประกอบในพรมปูพื้นและตกแต่งภายในของรถ ขวดพลาสติกใช้แล้วนำมาทำเป็นแผงใต้ท้องรถ ด้ายที่เหลือจากกระบวนการอุตสาหกรรมนำมาทำเบาะนั่ง พรมไนล่อนเก่านำมาทำเป็นใบพัดระบายอากาศหรือแผงปิดเครื่องยนต์ ทั้งหมดเพื่อสร้างยานยนต์คุณภาพสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน
นอกเหนือไปจากเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ฟอร์ดจัดทำระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Operating System หรือ EOS) ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เพื่อลดปริมาณการใช้เอกสารและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบการจัดการดังกล่าวทำให้ฟอร์ด เอเชียแปซิฟิกผ่านการรับรอง ISO 14001:2004 ร่วมกันทั้งภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย ฟอร์ด เปิดโรงงานประกอบรถยนต์แห่งใหม่ในจังหวัดระยอง หรือที่เรียกว่า Ford Thailand Manufacturing หรือ FTM ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะประกอบไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ เทคโนโลยี Three-Wet Paint เทคโนโลยีนี้จะพ่นสีที่ตัวรถต่อเนื่องสามครั้งแล้วเข้าเตาอบครั้งเดียว ช่วยประหยัดพลังงาน น้ำและลดมลพิษที่ปล่อยออก เทคโนโลยี Roll-Dip เทคโนโลยีการนำตัวถังรถจุ่มในถังสีด้วยวิธีหมุนตัวรถ ช่วยลดขนาดถังสีให้เล็กลง รวมถึงลดปริมาณการใช้สีและน้ำลงอีกด้วย และเทคโนโลยีการไม่กำจัดขยะด้วยวิธีการฝังกลบ (Zero Waste To Landfill)
อาคารต่างๆ ภายในโรงงานแห่งใหม่ยังสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การใช้ระบบระบายอากาศตามธรรมชาติ การใช้แสงอาทิตย์ให้แสงสว่าง นอกจากนี้ ใช้หลอดไฟแอลอีดี ติดตั้งโรงบำบัดน้ำเสียภายในโรงงาน และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) สำหรับจ่ายไฟให้กับบางอาคารภายในโรงงาน
ในวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ ฟอร์ดขอเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างอนาคตที่ยั่งยืนแก่ทุกคน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราสำหรับศตวรรษที่ 21 ที่จะนำเสนอการการขนส่งที่ยั่งยืนและสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน
รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " ฟอร์ด ผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน "