รีวิว 2016 Vespa Primavera 150 ABS และ Sprint 125 ABS พรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์อัพเกรดเทคโนโลยี

รีวิว 2016 Vespa Primavera 150 ABS และ Sprint 125 ABS พรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์อัพเกรดเทคโนโลยี

เมื่อวันที่ 16 มิย. ที่ผ่านมาทาง Vespiario ประเทศไทย ผู้แทนจำหน่าย Vespa อย่างเป็นทางการ ได้เปิดตัว 2016 Vespa Collection ใหม่ ในงานฉลองครบรอบ 70 ปี Vespa โดยเน้นที่โมเดลขายหลักในตระกูล Sprint และ Primavera ใหม่ ซึ่งถือเป็นรถเวสป้าโครงเล็ก ที่คงความคลาสสิคยุค 60’ ได้ดี แต่ผสานเทคโนโลยีอันทันสมัย พร้อมมอบความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว

ซึ่งในวันนี้ 9carthai เราได้มีโอกาสมา รีวิว 2016 Vespa Sprint 125 ABS และ Primavera 150 ABS คอลเล็กชั่นใหม่ ที่มากับเทคโนโลยีเด่นสุดในพรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์ กันครับ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการ Premium Scooter ที่เน้นใช้งานในเมือง มากับเทคโนโลยีสุดทันสมัย

สำหรับคันที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นรุ่น 2016 Vespa Sprint 125 ABS สีส้ม Taormina และ 2016 Vespa Primavera 150 ABS สีเงิน Grigio Seta (สีใหม่)

2016 Vespa Collection ใหม่ มีการปรับปรุง หลักๆ ได้แก่

ท่อไอเสียดีไซน์ใหม่

ล้อ 12” ลายใหม่ แบบ 5 ก้านคู่ (เฉพาะ Primavera 150)

ปุ่มเปิดเบาะด้วยระบบไฟฟ้า ที่บริเวณสวิทช์กุญแจ แทนที่การไขที่เบาะในโฉมเก่า

ช่อง USB Port ที่ลิ้นชักหน้า

ระบบความปลอดภัย อย่างเซ็นเซอร์ตรวจจับการเอียงรถ เมื่อรถล้มเครื่องจะดับเองทันที

ระบบ ABS ที่ล้อหน้า (ยกเว้นรุ่น Primavera 125)

รวมไปถึงการเพิ่ม 2 เฉดสีใหม่ คือ สีแดงด้าน (Rosso Matt) สำหรับ Vespa Sprint 150 3Vie ABS และสีเงิน (Grigio Seta) สำหรับ Vespa Primavera 150 3Vie ABS

รูปลักษณ์ภายนอก

Vespa Sprint และ Primavera ในระดับเดียวกัน และมีส่วนที่คล้ายกันในหลายจุด แต่มีจุดต่างกันหลักๆ คือ ไฟหน้า เหลี่ยม (Sprint) และ กลม (Primavera)

กระจก ทรงใบไม้ (Sprint) และ กลม (Primavera)

บังโคลนหน้า Primavera จะติดตั้งแถบโครเมียม

Sprint จะมีขอบสั้นๆ บังเรือนไมล์ด้านบน

ตำแหน่งมือจับท้าย Primavera จะเป็นเส้นโค้งในระนาบเดียวกัน ขณะที่ Sprint จะอยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า

จุดเด่นของ Sprint และ Primavera ก็คือ เป็นรถที่โครงเล็ก มีเฟรมที่ดูเพรียวบาง ดูปราดเปรียวกว่ารุ่น  LX, LXV, GTS และดูสวยงามกว่า

ทั้งคู่ยังคงโดดเด่นด้วยไฟ DRL แบบ LED ที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้ารถ

มาตรวัด Analog ปนดิจิตอลไฟสีฟ้า ที่ดูเรียบง่าย แต่คงความสวยงาม ซึ่งควบคุมที่ปุ่ม Mode ทางสวิทช์ด้านขวา

อนุรักษ์สไตล์คลาสสิค แต่แอบแฝงความทันสมัย ซึ่งแสดงเวลา  สเกลน้ำมัน และ Trip ระยะทาง

ทั้งคู่มีความสูงเบาะที่ 780 มม. ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการเป็นรถ Scooter ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคพอสมควรสำหรับผู้ที่สรีระไม่สูงมาก อาจต้องเขย่งขาเหยียบได้ไม่เต็มเท้า เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างกว้าง

มีความจุถังน้ำมัน 8 ลิตร

น้ำหนักตัวราว 120 กก.

เมื่อเปิดเบาะด้วยระบบไฟฟ้า พบช่องเก็บของ U-Box ขนาดใหญ่ สามารถเก็บหมวกกันน๊อคเต็มใบลงไปได้ (ขึ้นกับความใหญ่ของหมวกด้วย)

ทางด้านหน้าของเบาะ จะมีช่องซึ่งสามารถดึงเลื่อนออกมาเป็นตะขอเกี่ยวเอาไว้จ่ายกับข้าวได้ แต่พบว่าตำแหน่งนั้นดูจะเตี้ยไปนิด ถุงที่แขวนอาจจะขูดลากกับพื้นได้

ในด้านของท่านั่งขี่นั้น ทั้ง Vespa Sprint และ Primavera ด้วยรูปลักษณ์รถที่ค่อนข้างสูง ทำให้ตำแหน่งวางขานั้นผู้เขียนซึ่งมีส่วนสูง 175 ซม. ช่วงเข่างอประมาณ 90 องศา ซึ่งไม่เมื่อยนักเมื่อต้องขี่ยาวๆ และตำแหน่งการขี่ดูจะรู้เลยว่าสูงกว่ารถสกูตเตอร์ทั่วๆไป แต่ด้วยตัวรถที่สูงจึงทำให้ระดับแฮนด์สูงตามไปด้วย ระดับอยู่ใกล้เคียงกับกระจกรถยนต์ส่วนใหญ่ จึงอาจทำให้การซอกแซกบนท้องถนนในเมืองที่รถติดๆ อาจไม่คล่องตัวเท่าสกูตเตอร์ญี่ปุ่นนัก แต่โดยรวมความสบายแล้วนั่งขี่ได้ค่อนข้างสบายไม่แพ้กัน หรือสบายกว่า

ด้านตำแหน่งผู้ซ้อนพบว่า ตัวเบาะกว้างดี แต่ระยะความยาวของเบาะซ้อนอาจจะดูสั้นไปนิด จึงต้องนั่งร่นมาทางด้านหน้าใกล้ผู้ขี่ เนื่องจากก้นผู้ซ้อนอาจจะตกขอบเบาะท้าย ในส่วนของตำแหน่งวางเท้าผู้ซ้อน ดูจะใกล้ชิดกับตำแหน่งเท้าของผู้ขี่มาก ยิ่งถ้าผู้ขี่ชอบวางเท้ามาทางด้านหลัง

เครื่องยนต์ I Get ใหม่ ทั้งรหัส 125cc และ 150cc ถูกนำมาวางใช้ใน 2016 Vespa Collection ทั้งใน Sprint และ Primavera

ใช้มอเตอร์สตาร์ทใหม่ เงียบลงกว่าเดิม 15%
เซ็นเซอร์วัดแรงดันอากาศ
ชุดส่งกำลังใหม่ ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนขี่ได้ราบลื่นขึ้น
หม้อกรองอากาศออกแบบใหม่ ช่วยกรองอากาศ และฝุ่นได้ดีขึ้น

ทันทีที่ติดเครื่องยนต์ ในรอบเดินเบา สัมผัสได้ถึงการสั่นในสไตล์เครื่องยนต์ 3 วาล์ว เช่นเคย แม้เครื่องยนต์ I-Get ใหม่ จะได้ปรับปรุงลดการสั่นสะเทือนลงไปบ้าง ซึ่งอาการสั่นที่ลดลงนั้นดูจะเห็นได้ชัดในช่วงที่รถเคลื่อนตัวเสียมากกว่า

ในรุ่น 125cc นั้น พบว่าอัตราเร่ง นั้นดูมาแบบเรื่อยๆ เสียมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรถใช้โครงตัวถังแบบเหล็กกล้าที่หนักกว่ารถญี่ปุ่น จึงทำให้คันเร่งออกแนวสมูทมาแบบเรื่อยๆ ไม่กระชากเหมือนอย่างสกูตเตอร์ญี่ปุ่น ความเร็วระดับ 60 กม./ชม. ขึ้นไปก็มาแบบค่อยไปค่อยไป Top Speed ทำได้ราว 100 กม./ชม. ซึ่งหากคุณใช้งานในเมือง และเน้นขี่ชิลๆ ไม่เครียด ไม่เน้นทำเวลาในการเดินทาง 125cc ก็ถือว่า OK กับการใช้งาน

ขณะที่ 150cc พิกัดจริง 155cc เมื่อบิดคันเร่งออกตัวหากกระแทกแรง อาจมีหงาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขี่ 125cc มาก่อนซึ่งคันเร่งดูหน่วงและรถออกตัวอย่างเชื่องช้ากว่ามาก เรียกได้ว่า 150cc นี้บิดปุปมาปัป สัมผัสได้เลยว่าแรงและบิดติดมือกว่า 125cc ชัดเจน อัตราเร่งค่อนข้างดี แม้ช่วงความเร็วในย่านกลางนั้น กำลังเครื่องยังคงมีมาให้ใช้อย่างต่อเนื่องตามความจุ แต่เมื่อความเร็วระดับ 80 กม./ชม.ขึ้นไป ความหวือหวาอาจลดลงไป ขณะที่ Top Speed นั้นทำได้แตะ 110 กม./ชม.

ซึ่งถ้าคุณเป็นสายบิด ที่ชอบความเร็วบิดเร่งแซง ในเมืองแบบ ได้ดั่งใจสั่ง 150cc จะตอบโจทย์กว่ามาก แต่อย่างไรก็ดี ด้วย Top Speed ที่ 110 กม./ชม. นั้นอาจจะยังไม่เหมาะแก่การเดินทางไกล ที่ต้องแช่ Top Speed อยู่ตลอดเป็นเวลานานนัก

ด้านระบบกันสะเทือนและการควบคุม ด้านหน้ายังคงใช้โช้คอัพไฮโดรลิกแขนเดี่ยว ด้านหลังโช้คอัพเดี่ยวปรับได้ 4 ระดับ     สำหรับล้อขนาด 12” ถูกหุ้มด้วยยาง Tubeless  ด้านหน้าไซส์ 110/70/R12 หลัง 120/50/R12

โดยรวมแล้ว ทั้งคู่ยังคง ให้ฟีลลิ่งช่วงล่าง Scooter ที่ออกแข็ง แน่นเฟิร์มนิดๆ ช่วงล่างนั้นไม่ได้มีระยะยุบตัวมากนัก เมื่อขี่ผ่านลูกระนาด จึงอาจดูเด้งๆไปนิด แต่หากขี่ผ่านทางขรุขระที่เป็นทางยาว นั้นจะพบได้ว่าช่วงล่างเฟิร์มกระชับกว่ารถญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ด้านการซับแรงกระเทือนทำได้ดีพอควร

สำหรับการขี่ที่ความเร็วสูงระดับ 100 กม./ชม. ขึ้นไปนั้น ด้วยสไตล์รถที่หน้าเบา ท้ายหนัก อาจต้องใส่ใจการประคองแฮนด์ให้มากขึ้น แต่ทางด้านท้ายรถไม่พบปัญหาแต่อย่างใด เว้นเสียแต่เวลาเลี้ยวโค้งอาการการหนักท้ายจึงอาจทำให้รถมีอาการ Understeer เล็กๆ เมื่อต้องเลี้ยววงแคบด้วยความเร็ว

ระบบเบรก หน้าแบบจานดิสก์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 200 มม. หลังดรัมเบรกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 140 มม.  (รหัส 150cc) และ 110 มม. (125cc)

สไตล์การเบรกนั้น ยังคงให้ความรู้สึกที่ดูทื่อๆ ไปนิดตามแบบฉบับเวสป้า น้ำหนักก้านเบรกแข็งดูจะไม่มีระยะฟรีของช่วงกดก้าน ในการชะลอความเร็วนั้นใช้ก้านเบรกฝั่งขวาที่ดูแน่นช่วยชะลอความเร็ว แต่ถ้าต้องการเบรกหนัก ใช้เบรกฝั่งซ้ายจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าเบรกดูจิกตอบสนองมือได้มากกว่า

แต่การที่ใช้ระบบเบรก ABS ทางล้อหน้า ก็ทำให้คุณกดเบรกหน้าได้อย่างเต็มแรงโดยไม่ต้องกลัว

สรุป 2016 Vespa Collection ทั้ง Sprint และ Primavera ถือเป็น Premium Scooter Collection ใหม่ ที่น่าสนใจ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงความสะดวกสบาย ซึ่งนอกจากเรื่องของฟังก์ชั่นแล้ว ทั้ง Sprint และ Primavera ยังคงโดดเด่นในเรื่องรูปลักษณ์จาก โครงรถที่ดูสวยงามกว่ารุ่นอื่น ในตระกูล LT, LX, S รวมไปถึงรุ่นใหญ่ อย่าง GTS ด้วยซ้ำ

จุดเด่น

• ระบบเบรก ABS
• ช่องจ่ายไฟ
• เปิดเบาะด้วยระบบไฟฟ้า

จุดที่อยากให้มีเพิ่มเติม

• หน้าจอแสดงผลอัตราสิ้นเปลือง
• ออปชั่น เบาะ Low Seat เพื่อให้ผู้ที่มีสรีระไม่สูงมาก สามารถขี่และควบคุมได้สะดวก

 
Vespa Primavera มี 2 รุ่นเครื่องยนต์ ได้แก่
a. Vespa Primavera 125 3Vie ราคา 97,400 บาท มี 3 เฉดสีได้แก่ สีขาว (Montebianco) สีดำ (Nero Vulcano) และสีแดง (Rosso Dragon)
b. Vespa Primavera 150 3Vie ABS ราคา 119,900 บาท มี 3 เฉดสีได้แก่ สีขาว (Montebianco) สีดำ (Nero Vulcano) และสีใหม่คือสีเงิน (Grigio Seta)

Vespa Sprint มีให้เลือก 2 ขนาดเครื่องยนต์ ได้แก่ 
a. Vespa Sprint 125 3Vie ABS ราคา 103,400 บาท มี 3 เฉดสีได้แก่ สีขาว (Montebianco) สีแดง (Rosso Dragon) และสีส้ม (Taormina)
b. Vespa Sprint 150 3Vie ABS ราคา 124,900 บาท มี 1 เฉดสีได้แก่ สีขาว (Montebianco)
c. Vespa Sprint 150 3Vie ABS Matt Series ราคา 125,900 บาท มี 2 เฉดสี ได้แก่ สีเทาด้าน (Grigio Titanio) และสีใหม่คือสีแดงด้าน (Rosso Matt)

 
ขอบคุณ บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) สำหรับรถทดสอบ 2016 Vespa Collection ทั้ง 2 คัน
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver 9carthai