คำถามสุดจี๊ด! รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ จวก ตำรวจ-อัยการ คดี ‘บอส อยู่วิทยา’

โพสโดย : admin / วันที่ : 4 สิงหาคม 2020

คำถามสุดจี๊ด!  รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ จวก ตำรวจ-อัยการ คดี ‘วรยุทธ อยู่วิทยา’

700

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดผมคิดว่าเทียบเคียงได้กับเชอรี่แอน แต่มันมีมุมที่น่าสนใจนะที่ อ.สุรศักดิ์ ได้พูดถึงนะครับ

ผมขอสรุปในเบื้องต้นก่อน คือผมจะตั้งขอสังเกตุ และเรื่องนี้ผมก็ได้พูดกับสื่อไปแล้ว ผมก็จะมีท่อนต่อไปแล้วเราจะทำให้เรื่องนี้ไปถึงศาลยุติธรรมได้อย่างไร

ผมเห็นนะครับว่ามีทางเดียวที่จะคืนความน่าเชื่อถือกลับสู่กระบวนการยุติธรรมก็คือให้เรื่องนี้ไปถึงศาล และตอนท้ายผมจะนำเสนอว่ามีทางใดได้บ้างที่จะทำให้คดีไปถึงศาล แม้ว่าท่านรองอัยการสูงสุดจะเป็นคนเซ็นลงนามสั่งไม่ฟ้อง ความจริงลำพังความสั่งไม่ฟ้องของอัยการนะครับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เขาสืบสวนสอบสวนมาเขาสามารถคัดค้านได้

แต่ปรากฏว่า อันนี้เป็นหนังสือที่แจ้ง นายวรยุทธ อยู่วิทยา (บอส) ผู้ต้องหาที่ 1 โดยบอกว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีต่อ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ในทุกข้อกล่าวหาและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ

ประเด็นนี้คือคำถามของผมครับ เท่าที่ผ่านมาทางผู้แทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่ตอบคำถามข้อนี้นะครับ ไปตอบรายละเอียดในเรื่องอื่นๆ แทน แต่ถามว่าทำไมถึงไม่คัดค้านไม่ยอมตอบข้อนี้ในคราวแรกที่มีการแถลงที่เป็นข่าว และคนไทยก็รู้ข่าวนี้มาจากสำนักข่าวต่างประเทศ โดยไม่ได้รู้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจประชาชนมาตลอด 8 ปี

ซึ่งผู้ต้องหาก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ โดยประชาชนก็ติดตามดูและสงสัยกันว่าเงินมันง้างความยุติธรรมได้จริงหรือไม่? ผลปรากฏว่าสั่งไม่ฟ้องและไม่คัดค้านไปเงียบๆ แต่ที่นี้ผมขอพูดย้อนหลังนิดเดียวนะครับ คือคดีมีการตั้งข้อหาไป 5 ข้อหา ขับรถขณะเมาสุรา แต่ตำรวจไม่ส่งให้อัยการโดยให้เห็นผลว่าเป็นการดื่มหลังจากการชน และไม่ได้ดื่มก่อนชน

ส่วนอีก 3 ข้อหาคือ ขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด คือในกรุงเทพห้ามขับเกิน 80 กม./ชม. ซึ่งอันนี้ก็ขาดอายุความไป เพราะมีอายุความแค่ 1 ปี ขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ซึ่งในตรงนี้คงหมายถึงมอเตอร์ไซค์ของ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ซึ่งอันนี้อายุความ 1 ปี ก็ขาดอายุความไปเช่นกัน

ขับรถชนแล้วไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งพนักงาน อันนี้อายุความ 5 ปี ก็ขาดอายุความไปเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงคดีกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หรือขับรถชนคนตาย ที่มีอายุความยาวสุด และมีโทษสูงสุด ส่วนชนแล้วหนีเนี่ยอายุความ 5 ปี

ซึ่งใน 3 ข้อหาขาดอายุความไป ในขณะที่คดีอยู่ในมือของตำรวจ โดยผู้คนก็สงสัย? ว่าปล่อยให้ขาดอายุความไปได้อย่างไร หรือว่าจะมีการทำอะไรบางอย่างที่เป็นการเอื้อต่อผู้ต้องหาหรือไม่ ส่วนในเรื่องของข้อหาตรวจเจอโคเคนยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ตาม พรบ. ยาเสพติด ในขณะขับรถ แต่ไม่ได้มีการตั้งข้อหาในส่วนนี้เลย

ดังนั้นโดยสรุปก็จะเหลือเพียงคดีเดียวที่จะไปถึงศาลได้ และเรื่องนี้อยู่ในเขตของอาญา กรุงเทพใต้ 1 ซึ่งได้มีการสั่งฟ้องไปแล้ว

นาทีที่ 5.01 : ดังนั้นถ้าจะเป็นการสั่งไม่ฟ้องก็แสดงว่าที่มีการสอบสวนมาไม่มีความน่าเชื่อถือเลย หรือมันผิดทั้งหมด พยานหลักฐานใหม่สามารถหักล้างของเก่าได้หมดทั้งสิ้น หรือพยานหลักฐานที่ได้มามันไม่ชอบด้วยกฎหมายสักอย่างเลย ซึ่งนี้คือเหตุผลข้อเดียวที่จะทำให้สามารถสั่งไม่ฟ้องได้

ทีนี้พยานหลักฐานใหม่ที่มีขึ้นมาก็ไม่ได้หักล้างของเก่า แต่เหมือนกับว่าเอาของใหม่มาแทนที่เฉยๆ นี่เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวนะครับ

ตอนนี้กลับมาสู่ประเด็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอย่างให้สื่อมวลชนตั้งคำถามอีกทีว่าทำไม่สำนักงานตำรวจแห่งชาติถึงไม่คัดค้าน แล้วในหนังสือฉบับนี้ระบุว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่คัดค้าน ดังนั้นเรื่องนี้ท่านจะลอยตัวไม่ได้อีกต่อไปและต้องตอบคำถามสื่อมวลชนนะครับ

เหตุผลของสำนักงานอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องมี 3 ประเด็น

– (ประเด็นที่ 1) คือมีพยานผู้เชี่ยวชาญใหม่ 4 ราย พ.ต.ท. สมยศ แอบเนียม, พ.ต.ท.สุรพล เดชรัตนวิไชย, รศ.ดร. สายประสิทธิ์ เกิดนิยม และพ.ต.ท. ธนสิทธิ์ แตงจั่น ให้ความเห็นว่า นาย วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถเฟอรารี่ในขณะเกิดอุบัติเหตุโดยไม่เกิน 80 กม./ชม. หรือไม่เกินกว่าความเร็วที่กฎหมายกำหนด ซึ่งไม่ตรงกันกับพยานที่ให้การในชั้นต้นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่ให้การว่าใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. แน่นอน

คำถามคือ ลำพังเพียงการมีพยานใหม่ 4 ท่าน สามารถไปหักล้างของเก่าได้เแล้วหรือ ทำให้พยานหลักฐานเก่าไม่น่าเชื่อถือเลย จนกระทั่งสั่งไม่ฟ้องได้จริงหรือ?

– (ข้อสังเกตที่ 1) ทำไม? พยานใหม่เหล่านี้พึ่งมาปรากฏตัว แล้วก็ไม่ได้มีการให้คำอธิบายอย่างโปร่งใสและอย่างสิ้นสงสัย โดยความจริงเรื่องนี้สามารถใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์หาคำตอบได้ว่าที่จริงแล้วขับรถใช้ความเร็วเท่าไหร่ คือมันแตกต่างกันระหว่าง 177 กม./ชม. +-17 กับเหลือแค่ 76 กม./ชม. ซึ่งข้อนี้อัยการต้องสงสัยแล้ว หรือต้องเอามาหักล้างกันให้จบว่าตกลงแล้วใช้ความเร็วเท่าไหร่กันแน่

– (ข้อสังเกตที่ 2) ปรากฏว่าพยานใหม่ที่ขับรถตามมา 2 ราย คือ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นาย จารุชาติ มาดทอง ที่ให้การว่า นาย วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถใช้ความเร็วแค่ 50 – 60 กม./ชม. แล้วก็เห็น ด.ต วิเชียร กลั่นประเสริฐ หรือผู้ตาย ขับรถมอเตอร์ไซค์เปลี่ยนเลนจากเลนหนึ่งไปยังเลนสองจนทำให้เขาต้องชะลอรถ และก็ไปถึงเลนสาม จนไปตัดหน้ารถของ นาย วรยุทธ อยู่วิทยา และทำให้ไม่สามารถหลบหลีกหรือหยุดรถได้ ซึ่งเหตุที่เกิดจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ได้เกิดจากความประมาท อันนี้คือคำให้การของ นาย จารุชาติ มาดทอง และเอกสารของสำนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง

โดยข้อหาตามประมวลกฎหมายและอาญามาตรา 291 คือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และในเมื่อคดีของ นาย วรยุทธ อยู่วิทยา เป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่ประมาท ดังนั้นจึงไม่มีเหตุในการฟ้อง และจึงสั่งไม่ฟ้อง คำถามคือ ทำไม? พนักงานอัยการจึงเชื่อพยาน 2 ท่านนี้ง่ายเหลือเกิน

นาทีที่ 10:01  : ผมเรียนว่าทั้ง 2 ท่านนี้พึ่งมาปรากฏตัวในปี 2562 แล้วก็ประเด็นเรื่องของสุดวิสัย คือชนแล้วราก ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ไป 200 เมตร ไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่สั่งไม่ฟ้อง แล้วก็ชนแล้วก็หนีเข้าบ้านจนตำรวจต้องไปล้อมบ้านไว้ แล้วให้พ่อบ้านออกมามอบตัวแทน ซึ่งนี้เป็นข้อสงสัยทั้งสิ้นโดยมันน่าจะเป็นประมาทมากกว่าสุดวิสัย และยังไม่รวมถึงเรื่องเมาแล้วขับกับสารเสพติด ที่เป็นส่วนของผลประกอบทั้งสิ้น

คำถามคือทำไมท่านอัยการจึงไม่สงสัยอย่างที่พวกเราสงสัย เพราะเหตุผลในการที่จะกลับจากการสั่งฟ้องเป็นการสั่งไม่ฟ้อง มันต้องมีการหักล้างของเดิมได้ คิดง่ายๆ นะ พยานทั้ง 2 ท่านนี้ขับรถตามมาจริงหรือเปล่า? มีข้อมูลมายืนยันในส่วนนี้เพียงพอหรือเปล่า

ตอนนั้นเมื่อ 2-3 วันก่อน ก็บอกว่าต้องเอาคุณ จารุชาติ มาดทอง มาแสดงตัวต่อสาธารณชน แต่ผลปรากฏว่าเสียชีวิตกระทันหัน ซึ่งก็เหลืออีกท่านหนึ่งคือ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และจากที่ดูในข่าวของไทรัฐออนไลน์ ที่พาดหัวข่าวว่า “พยานบอสตายมีคนสงสัยเพียบ”, “ลูกสาวเผยมีคนนำมือถือพ่อมาคืนแต่ซิมหาย”, “ญาติสงสัยหลายอย่าง เผยช่วงหลังผู้ตายเก็บตัว มีคนเตือนเรือถูกตัดตอน” ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไม่คืนเกิดเหตุถึงออกจากบ้าน อันนี้เป็นข้อสงสัย

และที่น่าสนใจมากคือถ้าขับรถตามมาในคืนเกิดเหตุเมื่อปี 2555 แล้วเห็นเหตุการณ์ที่เป็นข่าวใหญ่ขนาดนี้ ทำไมลูกสาว พ่อแม่ หรือญาติ กลับไม่เคยรู้เรื่องนี้จากปาก คุณ จารุชาติ มาดทอง เลย ที่บอกว่าไม่อยากเดือดร้อน 7 ปี ที่ผ่านมาจึงไม่แสดงตัว

แต่คำถามคือเราเห็นเหตุการณ์ที่มันครึกโครมขนาดนี้แล้วไม่พูดกับคนใกล้ชิดบ้างหรอ ลูกสาวไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีใครู้เรื่องนี้เลย ซึ่งก็เลยเหลือ พล.อ.ท. จักรกฤช ถนอมกุลบุตร อีกหนึ่งท่าน และก็ขอให้ท่านออกมาให้การที่ว่าสรุปแล้วเรื่องมันเป็นอย่างไร

คือผมเรียนว่าเรื่องนี้เป็นข้อสังเกตที่ต่อจาก อ.สุรศักดิ์ ที่ยกเรื่องของคดีเชอรี่แอน โดยคดีเชอรี่แอน ดันแคน ไปถึงศาล และศาลชั้นต้น จ.สมุทรปราการ แล้วศาลก็สั่งพิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้ง 4 ให้ตายตกไปตามกัน จากพยานบุคคลเพียงปากเดียว ที่เป็นพยานเท็จโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนได้สร้างขึ้นมา

พูดง่ายๆ คือพยานบุคคล 1-2 คน มันต้องมีการตรวจสอบกันเยอะถ้าถึงขนาดจะไปหักล้างพยานหลักฐานทั้งหลายที่สอบสวนกันมา 7 ปีได้ ซึ่งมันต้องมีความชัดเจนและหนักแน่น แล้วความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งถ้าเป็นพวกเราคงมาแถลงต่อสาธารณชนให้ทราบว่าที่ผ่านมาเราเข้าใจผิด จนสังคมสิ้นสงสัย แต่กระบวนการนี้มันกลับไม่มีเลย

นาทีที่ 15.01  : โดยตำรวจที่มาแถลง ก็เข้าใจว่าท่านเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้บอกว่าตำรวจไม่มีอำนาจ ทำหน้าที่สอบสวนเพิ่มเติมตามอัยการสั่ง แต่มีข้อสงสัยว่าท่านมีอำนาจในการค้านนะครับถ้าเขาสั่งไม่ฟ้อง ทำไม่ท่านจึงไม่ค้าน เรื่องนี้ตำรวจจะมาโยนให้อัยการเป็นคนผิด แต่ที่จริงแล้วเรื่องนี้ตำรวจผิดด้วยถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องจริง โดยตามกระบวนการที่มีการถ่วงดุลระหว่างอัยการกับตำรวจ ซึ่งตำรวจสามารถคัดค้านได้แต่ว่าไม่ทำ

(ประเด็นที่ 3) ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมาย ไม่สบายใจที่สุดเลยคือในส่วนของย่อหน้าสุดท้ายของเอกสารฉบับนี้ คือ อนึ่งผู้ต้องหาที่ 2 คือผู้ตาย เราทราบกันเมื่อไหร่ว่า ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นคนที่ถูกชนแล้วรากไปไกล 200 เมตร โดยที่ผู้ชนไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ กลายเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งให้เหตุผลว่าเป็นการประมาทร่วม หรืออุบัติเหตุเกิดจาก 2 ฝ่าย

ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ใช่การประมาทร่วม แต่เรื่องนี้เป็นประมาทฝ่ายเดียวถ้าตามความเห็นของอัยการสูงสุดที่สั่งไม่ฟ้องคือ ด.ต. วิเชียร ประมาท ส่วนคุณวรยุทธ นั้นสุดวิสัย ไม่ใช่ประมาทร่วม ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นข้อสงสัย หรือเป็นข้อสังเกต จนกลายเป็นว่าทำให้ผู้ตายเป็นคนผิดหรือไม่? และคนที่ทำผิดจริงหลุดพ้นจากข้อหาหรือไม่? ดังนั้น ด.ต. วิเชียร กลั่นประเสริฐ ก็กลายเป็นผู้ต้องหาไป

ซึ่งการที่จะให้ใครเป็นผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหา แล้วตำรวจไปแจ้งข้อกล่าวหากับ ด.ต. วิเชียร ตอนไหน? ซึ่งเขาตายไปแล้ว คำถามคือ

1.ไปทำให้เขาไปเป็นผู้ต้องหาตั้งแต่เมื่อไหร่ ปีไหน

2.ไปแจ้งข้อกล่าวหาเขาตอนไหน โดยการที่จะไปแจ้งข้อกล่าวหาใครต้องให้เขาสามารถโต้งแย้งได้ แต่ตอนนี้ ด.ต. วิเชียรไม่มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งถ้าหากในคดีเชอรี่แอนมีแพะ คดีนี้คือแพะ ด.ต. วิเชียร ซึ่งไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ถูกชนตายแล้วรากไป 200 เมตร จะกลายเป็นคนผิด

3. คือผู้ต้องหาที่ 2 หรือผู้ตาย ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้ต้องหาที่ 1 จนเป็นที่พอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และทางอาญา กับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นาย วรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐานกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ซึ่งคดีกระทำโดยประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นเป็นอาญาแผ่นดิน ความหมายของอาญาแผ่นดินก็คือเรื่องนี้ไม่สามารถยอมความได้ เพราะรัฐจะไม่ยอมให้มีการประมาทและทำให้คนอื่นตาย โดยไม่ได้ห้ามแค่ เจตนาทำให้ตาย หรือฆ่าตกรรม แต่ประมาทแล้วทำให้ตายก็ห้ามด้วย ดั้งนี้ใครประมาททำให้ตายจึงเป็นอาญาแผ่นดิน

ในส่วนของค่าเสียหาย สินไหมทดแทน ที่ไปถึงชั้นศาลเป็นเพียงดุลพินิจให้กับผู้พิพากษาท่านพิจารณา ว่าจะมีเหตุลดโทษ หรือการรอลงอาญา แต่ก็ไม่ใช้เหตุในการสั่งไม่ฟ้องเมื่อเทียบเคียงกับคดีที่เคยมีมา แม้ว่าผู้ที่ชนแล้วตาม เมาแล้วขับด้วย จะไปงานศพ ไปดูแลญาติพี่น้อง จ่ายค่าเสียหาย ยอมรับผิดทุกอย่าง

นาทีที่ 20:01 : ขณะที่มีคดีนำนองนี้มา ทางอัยการท่านก็ส่งสั่งฟ้องต่อศาล เงินเยียวยามากกว่า 3,000,000 บาท หลายเท่าด้วย แม้กระทั่งว่าบางคดีศาลชั้นต้นรอลงอาญาไปแล้ว สั่งพิพากษาจำคุก 3 ปี แต่รอการลงโทษไว้ อัยการยังอุทธรณ์ว่าขอให้จำคุกเลย คือเยียวยาไปแล้วให้ค่าเสียหายไปแล้ว นี่เทียบเคียงกัน กับคดีที่พนักงานอัยการที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงสั่งฟ้องไปแล้ว แต่กลับมาสั่งไม่ฟ้องด้วยเหตุผลที่ไม่เหมาะสม

แล้วอาจารย์อย่างพวกผมจะสอนหนังสือกันยังไงครับ?

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ดังนั้นขอสรุปว่า จะไม่ตั้งคำถามว่าคดีจะไปถึงศาลได้หรือไม่ แต่โจทย์คือคดีจะไปถึงศาลได้อย่างไร?

และขอเชิญสื่อมวลชนกับพี่น้องประชาชนร่วมกัน ก็เริ่มต้นจากท่าน อ.สุรศักดิ์ ยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 147 ไว้ เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามไม่ให้มีการสอบสวนกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญกับคดีซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาได้

ซึ่งตรงนี้ทั้งพนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตอบทำนองว่า ต้องมีหลักฐานใหม่ ซึ่งเรื่องเก่าที่สงสัยไม่นับว่าเป็นหลักฐานใหม่ ต้องเป็นเรื่องใหม่หลักฐานใหม่เลย อันดับแรกคือต้องหาหลักฐานใหม่ แล้วมันจะมีหลักฐานใหม่หรอเมื่อคดีผ่านไปตั้ง 8 ปี แล้ว

โดยเรียนว่าเรื่องนี้ อ.มุณี คณะนิติศาสตร์ ให้ความเห็นว่า คือเป็นหลักพื้นฐานอยู่แล้ว เช่นเมื่อนักศึกษาสอบวิชาที่สอน และการสอบก็ผ่านไปแล้ว แต่ปรากฏว่านักศึกษาคนนั้นทุจริตสอบ ก็แปลว่าที่สอบมาเป็นโมฆะทั้งหมด ความหมายคือว่า ถ้าการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเป็นไปโดยที่ไม่โปร่งใส ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หรือถึงขนาดไม่สุจริต ก็เท่ากับไม่ได้ทำอยู่แล้ว

หากเทียบเคียงกับกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 27 ขนาดศาลยังมีหลัก ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติตามกฎหมายแพ่ง ในข้อมุ่งหมายให้เกิดความยุติธรรมหรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลสามารถมีคำสั่งให้แก้ไขได้ทั้งหมดหรือบางส่วน

ดังนั้นขอให้ท่านอัยการสูงสุด เพราะเรื่องนี้ลงนามโดยรองอัยการสูงสุด คือถ้าท่านอัยการสูงสุดไม่ตอบข้อสงสัยของประชาชน โดยข้อสงสัยหลักคือพนักงานอัยการที่มีอำนาจสูงสุดทำหน้าที่สั่งฟ้องไปแล้ว แต่อัยการสูงสุดมากลับคำฟ้องได้อย่างไร ซึ่งท่านบอกเองว่าเป็นเรื่องของรองอัยการสูงสุด แต่ท่านเป็นเบอร์ 1 ของสำนักงานอัยการสูงสุด ถ้าสังคมต้องคำถามแบบนี้

คำถามหลักคือ พนักงานอัยการที่มีหน้าที่โดยตรงได้สั่งฟ้องไปแล้ว ทำไมถึงสั่งไม่ฟ้องโดยเหตุพยานหลักฐานที่เข้ามาใหม่ในภายหลังที่น่าสงสัยอย่างที่ได้ตั้งข้อสังเกต และสังคมสงสัย คือการสั่งไม่ฟ้องมีทางเดียวคือพยานหลักฐานทั้งหมดไม่มีความน่าเชื่อถือหรือผิดกฎหมายมาทั้งหมด ในส่วนนี้ท่านอัยการสูงสุดต้องลงมาดูเพราะไม่ฉนั้นจะเสียหายไปกันทั้งหมด

ที่นี้มาดูทางฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาดูกันว่าใครเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พรบ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นส่วนราชการมีฐานะเป็นนิติบุคคลอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

นาทีที่ 25:01 : วงเล็บ 2 ดูแลควบคุมและกำกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งท่านนายกนั้นมีอำนาจสั่งการได้ถ้าพบว่าการไม่คัดค้านการสั่งไม่ฟ้องของอัยการนั้นไม่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถูกต้อง

ซึ่งตอนนี้ท่านนายกก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วก็มีคณบดีนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีจุฬาลงกรณ์ กับรามคำแหง เข้าไปอยู่ในกรรมการชุดนี้ โดยสิ่งที่คาดหวังได้กับกรรมการชุดนี้ เพราะว่านายกนี้มีอำนาจบังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ทบทวนการไม่คัดค้านอัยการ เนื่องจากเป็นอำนาจตาม พรบ. ตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอันนี้เป็นช่องทางที่สอง

โดยในช่องทางแรกขอให้ท่านอัยการสูงสุดลงมาตรวจสอบว่าการสั่งไม่ฟ้องแล้วมีผู้คนสงสัยเนี่ยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าชอบด้วยกฎหมายแล้วก็ต้องทำในข้อที่ทำให้คนสิ้นสงสัย

ส่วนอีกอันก็คือต้องให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติคัดค้านอัยการ จะบอกว่าไม่คัดค้านไปแล้วจบแล้วไม่ได้ คือถ้าการไม่คัดค้านนั้นเป็นไปโดยไม่ชอบก็สามารถแก้ได้ แม้แต่คำสั่งของศาลยังแก้ได้เลยถ้ารู้ว่าผิด

และอีกอันคือเรื่องของหลักฐานใหม่ หมายถึงว่าให้ทบทวนการสั่งไม่ฟ้องโดยอัยการสูงสุด แล้วก็การไม่คัดค้านการสั่งไม่ฟ้องโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ท่านนายกมีอำนาจในการบังคับบัญชา หรือไม่ก็หาหลักฐานใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญามาตรา 147 แล้วขอให้สั่งฟ้องใหม่

คือคนก็สงสัยว่ารถเฟอรารี่ ราคา 35 ล้านบาท ทำไมชนคนด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. รถมันถึงบุบได้ถึงขนาดนี้ ที่นี้ในเรื่องของความเร็วที่มันลดลงมาเหมือนกับเป็นเหตุที่บอกว่า ถ้าความเร็วเกินจะเป็นประมาท ซึ่งถ้าขับไม่เกินในข้อที่ไม่ประมาทก็ฟังขึ้น ดังนั้นข้อที่ 1 ก็คือต้องทำให้ความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เพื่อที่จะได้อ้างได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือเปล่า?

ความจริงแล้วก็มีอยู่ 3 คน ที่คำนวณ ท่านแรกอาจารย์จุฬาฯ 177 กม./ชม. +-17 และผู้เชี่ยวชาญของกรมตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 147 กม./ชม. ซึ่งมีท่านเดียวคืออาจารย์ที่พระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ท่านบอกว่า 79.21 กม./ชม. ซึ่งมีคนสงสัยวิธีการของท่านเยอะ เนื่องจากท่านวัดเป็นแนวทแยงของรถ แล้วคลิปที่ท่านใช้ก็เป็นการใช้มือถือถ่ายมาจากกล้องวงจรปิดอีกครั้ง

ซึ่งวิธีที่ทำให้หายสงสัยก็คือเอาทั้ง 3 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญอีกท่านมานั่งรวมกัน แล้วก็ทำให้มันจบไปเลยอย่างสิ้นสงสัย คือหลักวิทยาศาสตร์มันมีข้อสรุปจบได้อยู่แล้ว

ส่วนหลักฐานใหม่ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เปิดกล้องวงจรปิดที่ตำรวจใช้ แล้วใช้เครื่องตรวจจับไปเลยว่าตัวเลขจะขึ้นที่เท่าไหร่ ซึ่งอันนี้สามารถใช้เป็นหลักฐานใหม่ได้ เนื่องจากไม่เคยมีการวัด

600

ส่วนอีกทางหนึ่งคือไปเชิญทางตัวแทนของรถเฟอรารี่มาดูสภาพรถราคา 35 ล้านบาท ว่าขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. มันสามารถบุบได้ขนาดนี้ ได้อย่างไร? ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถใช้เป็นหลักฐานใหม่ได้

นาทีที่ 30:01  อีกเรื่องหนึ่งคือคดีโคเคน เสพโคเคนก็สามารถเป็นหลักฐานใหม่ได้ คือในเรื่องของเสพโคเคนระหว่างขับรถ หรือเสพยาเสพติดในขณะขับรถ ซึ่งได้ไปดูในข้อกฎหมายแล้วพบว่าไม่อยู่ในบัญชีของกระทรวงมหาดไทย เพราะเขามีแค่เฟตามีน ซึ่งโคเคนไม่นับอยู่ในรายการของยาเสพติดที่เสพแล้วจะมีความผิดในข้อหาขับรถในขณะเสพยาเสพติด และเรื่องนี้ศาลฎีกาเคยยกฟ้องไปแล้ว

มีคดีนึงคือเสพมอร์ฟีนแล้วก็ไปถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาก็บอกมามอร์ฟีนไม่อยู่ในบัญชียาที่นับเป็นการเสพแล้วเป็นความผิดในข้อหาเสพยาระหว่างขับรถก็เลยยกฟ้องไป แต่การเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 เป็นความผิดตาม พรบ. ยาเสพติด คำถามคือทำไม? เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่ตั้งข้อหานี้

เนื่องจากปกติมีการตั้งด่านตรวจฉี่สีม่วง ปิดพับ ปิดร้านเหล้า ตรวจฉี่คนไปเที่ยว ซึ่งมีหลักฐาน ผศ. พล. อ.ต.นพ วิชาญ เปี้ยวนิ่ม หัวหน้าสาขาวิชา นิติเวชวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกว่ามีโคเคนอยู่ในตัวคุณวรยุทธ อยู่วิทยา อย่างแน่นอน

แล้วที่ตำรวจท่านไปให้การว่าเป็นยาชาจากที่ไปหาหมอฟัน ซึ่งอันนี้ก็มีข้อโต้แย้งไปแล้วว่าในวงการแพทย์ได้มีการเลิกใช้โคเคนเป็นส่วนประกอบของยาชาไป 150 ปีแล้ว และเมื่อวานก็มีคลิปที่เขาตอบคำถามสื่อมวลชน จนอยากจะบอกว่าไปตามตัวหมอฟันคนนั้นมาที่ ซึ่งถ้าหากเขาใช้โคเคนรับรองว่าถูกเพิกถอนใบอนุญาติประกอบวิชาชีพแน่นอน

ซึ่งก็ได้คำตอบแล้วว่าโคเคนนั้นไม่ได้อยู่ในส่วนประกอบของยาชาที่ใช้ นั่นก็แปลว่าเหลือทางเดียวแล้วก็คือใช้เพื่อเสพ ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคดีเกิดไปตั้ง 8 ปีแล้ว และเป็นผู้เสพไม่ใช่ผู้จำหน่าย ก็ต้องไปดูว่าขาดอายุความไปหรือยัง คือเรื่องอายุความอยู่ที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 คืออายุความสั้นหรือยาวจะอยู่ที่ความผิดของข้อหานั้นๆ

พรบ. ยาเสพติดระบุว่า มาตรา 91 ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 หรือยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 10,000 – 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยมาตรา 95 ระบุว่ามีอายุความ 1 ปี โทษจำคุก 1 เดือน, อายุความ 5 ปี โทษจำคุก 1 เดือน – 1 ปี, อายุความ 10 ปี ถ้ากระทำความผิดต้องระวังจำคุก 1 ปี – 7 ปี

ซึ่งเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 โทษจำคุกสูงสุดคือ 3 ปี ดังนั้น อายุความคือ 10 ปี ซึ่งอายุความยังไม่ขาด และขอตั้งคำตามต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าท่านตรวจเจอยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 อยู่ในตัวผู้ต้องหาแต่ท่านไม่ตั้งข้อหาแปลว่าอะไร? เป็นการระเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่?

ฉะนั้นเมื่อสังคมตั้งคำถามแล้วก็ต้องตั้งข้อหา แล้วจะมาบอกว่าอายุความขาดแล้วไม่ได้ เพราะมันมีอายุความ 10 ปี และถ้าหากว่ามียาเสพติดที่ส่งผลต่อจิตประสาทในขณะขับรถมันจะเรียกว่าสุดวิสัยได้หรือไม่?

นาทีที่ 35:01 เสพยาแล้วก็มาขับรถ น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันให้ฤทธิ์ต่อจิตประสาทและการตัดสินใจนี่เป็นหลักฐานใหม่ครับ และอายุความยังไม่ขาด เพราะเหตุการณ์พึ่งผ่านไป 8 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้จะเอาเป็นเอาตายกับคุณวรยุทธ อยู่วิทยา แต่นี่คือทำเพื่อปกป้องประเทศไทยของเรา รักษาบ้านเมืองไว้ให้ผู้คนยังเชื่อว่าถ้าเราทำผิดกฎหมาย เราจะได้รับการปฏิบัติจากกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอกัน

ซึ่งมันก็มีความเห็นของนักข่าวต่างประเทศ หรือชาวต่างประเทศ ที่มีต่อประเทศไทย พอเห็นแล้วเราเศร้าใจ และมันทำให้อับอายไปทั่วโลก

ขณะที่ทางญี่ปุ่นเขาบอกว่าที่แท้ประเทศไทยก็ยังด้อยพัฒนาอยู่ เงินสามารถทำให้ไม่ติดคุกได้

เราจะยอมให้ประเทศไทยของเรามีภาพลักษณ์แบบนี้ในสายตาต่างชาติหรอครับ แล้วใครจะมาลงทุนกับเรา ใครไปปล้นบริษัทของเขา ไปทำลายโรงงานเขา กระบวนการยุติธรรมเราจะคุ้มครองเขาไหม? ในสมัยก่อนเรามีสิทธิสภาพนอกอนาเขตแล้วนายปรีดี พนมยงค์ ได้ต่อสู้จนประเทศไทยรอดพ้นไปได้

เพราะว่าแต่ก่อนนี้พวกยุโรปเขาไม่เชื่อในศาลไทย ซึ่งเขาบอกว่าถ้าเกิดคดีในสยามจะขอขึ้นศาลของประเทศตัวเอง เรายังเป็นอย่างงั้นอยู่หรอครับ กระบวนการยุติธรรมของเราไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไปแล้วหรือ คือถ้าหากว่ายังจะมีเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม หมายถึงว่าเรื่องนี้ถ้าหากจะมีความด้อยพัฒนาอยู่ก็คือเจ้าหน้าที่บางคนในกระบวนการยุติธรรม

ส่วนคนไทยต้องแสดงให้เห็นว่าเราไม่ด้อยพัฒนา เพราะเราไม่ยอมเรื่องนี้ ความจริงแล้วอีกข้อหนึ่งก็คือว่าตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บอกก็คือว่า ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิ คือมันจบไปแล้ว อัยการไม่สั่งฟ้อง ตำรวจไม่คัดค้าน จบไปแล้ว แต่ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหาย ที่นี้ผู้เสียหายก็ตามประมวลวิธีพิจารณาอาญาก็มีบุพการี มีคู่สมรสจดทะเบียน กับบุตร

ก็มีการไปดูข้อมูลว่าบุพการียังมีชีวิตอยู่ไหม แต่ก็ยังหาข้อมูลไม่เจอ แต่ว่าเข้าใจในส่วนของการเยียวยา ชดใช้ค่าเสียหาย 3,000,000 บาท ก็คงให้กับทางภรรยา ซึ่งความจริงในการให้เงินต่างๆ มันคืออีกเรื่องนึง ถึงแม้จะรับเงินมาแล้วก็ไม่ตัดสิทธิในการที่เป็นผู้เสียหาย ซึ่งก็ไม่ทราบว่าทางคู่สมรสนั้นสิ่งที่แรกมามันคือ ด.ต.วิเชียร นั้นกลายเป็นคนผิด ไม่ใช่เหยื่อ คือเป็นแพะให้กับคนผิดจริงตามที่สังคมสงสัย

*คุ้มไหมกับเงิน 3 ล้าน จากเหยื่อ กลายเป็น ผู้ต้องหา

ทั้งหมดนี้ไม่ได้พิพากษาว่า คุณวรยุทธ ผิดแล้ว เพราะว่าในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่เราต้องการทั้งหมดนี้ไม่ใช้ต้องการให้ใครติดคุกไม่ใช้เป้าหมาย ที่ต้องการคือให้คดีไปถึงศาลยุติธรรมแล้วให้ศาลเป็นคนตัดสิน

นาทีที่ 40:01 : โดยกระบวนการสืบสวนสอบสวนที่สามารถค้านพยานได้ กระบวนการพิจารณาที่เปิดเผยโปร่งใส และเป็นธรรม มันมีทางคือต้องไปถึงศาลยุติธรรม แล้วก่อนสุดท้ายคือ คุณรสนา โตสิสกุล ไปร้องต่อศาลว่าอย่าถอน ในระหว่างที่สาธารณชนกำลังสงสัยตั้งคำถาม ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ

ดังนั้นขอให้ศาลท่านพิจารณาเรื่องของการเพิกถอนหมายจับว่าอย่าพึ่งถอน เพราะว่าการสั่งไม่ฟ้องยังเป็นที่สงสัย และอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรรมการชุดต่างๆ และสุดท้ายมีจดหมายเปิดผนึกจากพี่น้องอยู่วิทยา ซึ่งผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดเพียงที่กฎหมายยุติธรรม แต่มันเกิดกับนามสกุลอยู่วิทยา จนพี่น้องอยู่วิทยา 8 คน ได้ลงชื่อไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ทำอยู่นี้ และคิดว่าคนผิดคงเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งที่ทำไปก็ไม่เคยปรึกษาพี่น้อง

และตอนนี้ Red Blue ก็กำลังเดือดร้อน เพราะว่าเป็นสปอนเซอร์ให้กับการแข่งขันกีฬามากมายในยุโรป, อเมริกา

สุดท้ายแล้วกระบวนการที่เป็นเครื่องมือของผู้บริโภค พลังผู้บริโภคถ้าจำเป็นต้องทำก็ทำเนื่องจากทางอื่นทำไม่ได้

ซึ่งทั้งหมดนี้มีประเด็นเดียวและก็ไม่ได้พิพากษาคุณวรยุทธ อยู่วิทยา ผิด แต่อยากให้เรื่องนี้ไปถึงศาล และเรื่องนี้ต้องไปถึงศาลครับ


4  ส.ค. อัยการแถลงคำถามที่ประชาชนสงสัยครับ

 


สนใจลงโฆษณากับทาง 9CARTHAI ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่
คุณวัน  086-1290293 
LINE ID : 123456786205
Email : wanchalearm.t@gmail.com
ทางเราเป็นเว็บไซต์ให้ข้อมูล ไม่ใช่เจ้าของดีลเลอร์นะครับ

รถใหม่ 2024


รถไฟฟ้าที่น่าสนใจ...


รถยอดนิยม
Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000.
Mazda 3 ราคาเริ่มต้น 969,000.
Mazda CX-3 ราคาเริ่มต้น 769,000.


Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 499,000.
Nissan Kicks ราคาเริ่มต้น 889,000.
Nissan Navara ราคาเริ่มต้น 599,000.


Honda City ราคาเริ่ม 579,500.
Honda City Hatchback ราคาเริ่ม 599,000.
Honda City e:HEV ราคา 839,000.
Honda Civic ราคาเริ่ม 874,000.


Mitsubishi Triton  ราคาเริ่มต้น 539,000.
Mitsubishi Xpander ราคาเริ่มต้น 789,000.
Mitsubishi Pajero Sport ราคาเริ่มต้น 1,299,000.


Toyota Revo ราคาเริ่มต้น 544,000.
Toyota Yaris ATIV 4 ประตู ราคาเริ่มต้น 529,000.
Toyota Yaris 5 ประตู ราคาเริ่มต้น 539,000.
Toyota Corolla Cross ราคาเริ่มต้น 989,000.
Toyota Fortuner ราคาเริ่มต้น 1,319,000.




ราคารถใหม่  BMW, BYDFORD, HAVAL, HONDA, HYUNDAI, ISUZU, MAZDA, MG, MINI, MITSUBISHI, MERCEDES-BENZ, NETA, NISSAN, SUZUKI, TESLA, TOYOTA, VOLVO

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " คำถามสุดจี๊ด! รองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ จวก ตำรวจ-อัยการ คดี ‘บอส อยู่วิทยา’ "

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

ข่าวรถใหม่

บทความแนะนำ

หมวดหมู่

 

Sales ประจำเว็บนะครับ

BMW K.อุ๊ย
083-2222-456 / LINE : @auicarthai
BYD ว่าง
รับสมัครเซลล์ประจำเว็บ 1 ท่าน
Ford K.พลิกล็อค 081-4307717ID Line : @logford
Honda K.บอล
085-082-2662 / LINE : ballz12345
Haval K.ฝน 062-695-9245ID Line : lawan.s
Hyundai K.จ๊ะจ๋า
098-4084660  / LINE : jaja9777
ISUZU K.อาม เพชรเกษม
087-332-1320 / LINE : armisuzu108
Mazda ว่าง
รับสมัครเซลล์ประจำเว็บ 1 ท่าน
Mercedes-Benz K.ลูกน้ำ
091-7866446  / LINE : puimg
MG คุณฮอน
098-198-2528 / LINE : pulleystation
MINI ว่าง
รับสมัครเซลล์ประจำเว็บ 1 ท่าน
Mitsubishi ว่าง
รับสมัครเซลล์ประจำเว็บ 1 ท่าน
NETA K.จูน พระราม 2
082-625-3991  / LINE : 0826253991
Nissan เซลล์ น้องอ้อ
082-997-4556 / LINE : @nissansale
Suzuki ว่าง
รับสมัครเซลล์ประจำเว็บ 1 ท่าน
Toyota คุณแอ้
081-4976966 / LINE : @airetoyota
Volvo เซลส์ คุณมิ้ม
092-2965459 / LINE : mimmieka
* ถ้ามีการโอนเงินค่าจอง จะโอนเข้า ชื่อบริษัท เท่านั้น ไม่มีการโอนเป็นชื่อ Sales นะครับ
** โทรหา Sales บอกว่ามาจาก 9carthai ของแถมพิเศษ ครับ
*** พี่ๆที่ Comment รบกวนช่วย ทิ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือ หรือ อีเมล ให้ Sales ติดต่อกลับด้วยนะครับ

ความเห็นล่าสุด